วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องสั้น "ไม่สิ้นสุด" โดย คัมภีร์ปัญญา ป.

คัมภีร์ปัญญา ป.

ไม่สิ้นสุด


          หลายคนอาจมีอุดมคติว่า การทำอะไรแล้วสิ้นสุดลงเอยไปด้วยดีนั้น ถือว่าเป็นการประสบผลสำเร็จในชีวิตอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ "เมธี" ที่สงสัยและเป็นโจทย์ให้เขาคิดตลอดมาเมื่อครั้งที่ได้ฟังคำพูดของหัวหน้าซึ่งเป็นผู้จัดการร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งที่เขาทำงานอยู่ในปัจจุบัน
          หลายวันก่อน เมธีและเพื่อนสนิทอีก ๓ คน คือ "นิด, ตุ้ย, มน" กำลังคุยกันเรื่อง "การตอบแทนพระคุณพ่อแม่" อยู่นั้น ได้มีเสียงพูดแทรกขึ้นว่า "กำลังคุยโม้อะไรอยู่จ้าเด็ก ๆ เสียงดังไปถึงห้องทำงานพี่เลย ให้พี่โม้ด้วยคนได้ไหมเอ๋ย"
          พวกเขาจ้องหน้ากันอย่างตกใจพร้อมอุทานขึ้นว่า..."พี่เอก" (เป็นชื่อของผู้การจัดการร้านอาหาร)
          แอบคุยกันในขณะทำงาน ก็เลยตกใจใช่ไหม (พี่เอกถาม ด้วยน้ำเสียงอมยิ้ม)
          กำลังคุยเรื่องการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ครับ (เมธีตอบ) จากนั้น นิด,ตุ้ย,มน พลางตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ใช่ครับ/คะ"
          ไหนใครเคยกราบเท้าพ่อแม่บ้าง..? (พี่เอก ถามทุกคน)
          หนูเคยล้างเท้าท่านทั้งสองแล้วเอาน้ำที่ล้างเท้ามารดบนศรีษะ แต่....ลืมกราบคะ (นิดตอบ)
          ผมเคยกราบเท้าและทุกวันนี้ก็ยังเลี้ยงดูท่านทั้งสองเป็นอย่างดีครับ (ตุ้ยตอบ)
          หนูเคยกราบเท้าและเช็ดอุจจาระปัสสาวะในยามท่านทั้งสองไม่สบายคะ (มนตอบ)
          แล้วเราล่ะเมธี (พี่เอกเอ๋ยถามเมธีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน)
          เออ...ผมไม่เคยครับพี่ (เมธีตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าและรู้สึกสะเทือนใจ)
          เอาล่ะ...ใกล้จะถึงวันแม่แห่งชาติแล้ว ขอให้ทุกคนระลึกถึงพระกรณียกิจของพระราชินีให้มากและที่สำคัญต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตัวเองให้ดีนะจ้า เพราะการตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง ผู้ที่เป็นลูกตอบแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมด...แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองได้ลูกค้าเริ่มเข้ามาในร้านเยอะแล้ว (พี่เอกพูดเสร็จแล้วรีบเดินไปต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน)
          กลายเป็นประเด็นให้เมธีครุ่นคิดขึ้นมาทันที ในวันนั้นเขาไม่มีความสุขในทำงานเลย คิดถึงแต่พ่อแม่ทั้งสองผู้วายชนไปนานแล้ว เมธีเป็นคนอาภัพมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ของเขาตายจากเขาไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อตอนอายุได้ ๑ ขวบเศษ ภายหลังต่อมา ตาและยายได้เลี้ยงดูหลานคนนี้มาเสมือนลูกชายคนหนึ่งของท่าน ส่งเสียให้เรียนหนังสือจนมีการมีงานทำ จวนมีอายุย่างเข้าวัย ๒๕ ปี ในขณะนี้ แรงบันดาลใจต่าง ๆ เกิดขึ้นจากกำลังใจของตาและยายเสมอมา ยายบอกเขาเสมอว่าอย่าได้คิดน้อยใจตัวเองที่ไม่มีพ่อแม่ ตาและยายจะเป็นพ่อแม่ให้เอง เลือดทุกหยดเนื้อทุกก้อนกระดูกทุกชิ้นเป็นส่วนหนึ่งของตาและยาย จงภูมิใจเถิดที่มีตาและยายคอยอยู่เคียงข้างและพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของเมธีตลอดไป
          วันหยุดพักร้อน ๓ วัน ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๑,๑๒,๑๓ สิงหาคม ในครั้งนี้เมธีตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัดอย่างไม่กังวลใจเพราะคิดถึงตาและยายใจจะขาด หลายผ่านมาแล้วที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมท่านทั้งสอง ได้แต่ส่งเงินให้ทุกเดือนและตามโอกาสอันเหมาะสม


          อีกมุมหนึ่งโดยส่วนตัวแล้วเมธีเป็นคนที่ชอบในการประพันธ์หรือการแต่งโคลง,ฉันท์,กาพย์,กลอน โดยเฉพาะการแต่งโคลง ๔ สุภาพแบบประยุกต์หรือการแต่งแบบนอกกรอบเพื่อให้อ่านและเข้าใจง่าย ในช่วงที่เมธีได้เดินทางมาอยู่ที่กรุงเทพเพื่อศึกษาเล่าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาได้เลือกเรียนคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย การจากบ้านเกิดมาหลายปีทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนอะไรที่สร้างสรรค์ได้ อย่างเช่นโคลง ๔ สุภาพ ที่ชื่อว่า "คิดถึงบ้านเกิด" บทนี้
                             ...จำใจจากถิ่นบ้าน                  เยาว์วัย           ท่านเอย
                             ลงล่องใต้เหนือนัย                   ร่ำรู้
                             ปลุกปล้ำฝ่าอาลัย                             พลัดพร่ำ          วิโยค
                             เพียรกร่ำขยันสู้                      ไขว่คว้าศึกษา   ฯ
          ขณะที่ศึกษาหาความรู้เขาเกิดท้อถ้อยและหมดกำลังใจแต่ไม่สร้างแรงใจขึ้นมาใหม่ จึงได้แต่งโคลง ๔ สุภาพ เพื่อไว้เตือนสติตัวเอง ว่า
                             "ไม่ท้อถ้อย"
                             ...เหล่าหมู่ญาติพี่น้อง                ปู่ตา              ย่ายาย
                             ข้าวุ่นสิเนหา                         สู่ห้วง
                             นิวัตต์เมื่อจบท่า                     เกล้าใฝ่           ปริญญ์
                             ควรค่ายืนหยัดท้วง                  กอปรกู้สร้างสรรค์   ฯ
          เมธีเป็นคนชอบมองอะไรแล้วนำมาสอนตัวเองเสมอ กล่าวคือเป็นคนชอบเปรียบเทียบบางสิ่งบางอย่างที่ตรงข้ามกัน โดยถ่ายทอดเป็นโคลง ๔ สุภาพ ว่า
                             "จะเป็นคนเช่นไร"
                             ...จะเป็นคนเช่นกล้วย               ไม้ลือ             กาฝาก
                             เกาะที่ไหนแย่งยื้อ                   นั่นแท้
                             กล้วยไม้แบ่งบานคือ                 ความเด่น         เบิกใจ
                             เกาะที่ใดพ่ายแพ้                    เช่นไม้กาฝาก   ฯ
                             ...ควรเป็นคนเช่นกล้วย              ไม้ที่               สวยงาม
                             มีแต่ผู้คนปรีย์                        ไขว่คว้า
                             ไม่เอาเยี่ยงกาผี                      เกาะกิ่ง           ไม้ตาย
                             พาด่างพล่อยหม่องหน้า             ค่าสิ้นไม่มี   ฯ
          ครั้งหนึ่ง ได้เดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อศึกษาดูงาน ในช่วงนั้นเป็นฤดูแล้ง(ใบไม้ผลิ) เมธีเห็นภูเขาที่เต็มด้วยไฟป่าลุกลามไปทั่วทั้งป่าเกิดความสังเวชขึ้น ว่า
                             "ฤดูใบไม้ผลิ"
                             ...บรรพตสูงเสียดฟ้า                 นิลสี              ทิวทัศน์

                             สง่างามขจี                           แผ่นคิ้ว
                             เห็นระลิ่วอัคคี                       ภัยน่า             ผวา
                             ผลิบั่นบรรณใบพลิ้ว                 ร่วงแล้งสังเวช   ฯ
                             ...เหมือนประหนึ่งดั่งถ้อย            หหัย              องค์ตรัส
                             ที่ว่าพระงูไฟ                         กับทั้ง
                             พระเจ้าอยู่หัวไท้                     สี่สิ่ง               นี้หนา
                             ฤทธิ์แกร่งอย่าพลาดพลั้ง            ด่าเก้อปรามาส   ฯ
          เขาได้ข้อคิดจากสัตว์แมลงเช่น "ผึ้ง" ธรรมดาผึ้งเป็นแมลงที่มีความขยันและอดทน จึงเปรียบผึ้งผ่านอารมณ์ที่สุนทรี ว่า
                             "ชีวิตผึ้ง"
                             ...คนควรเป็นดั่งผึ้ง                   ขยัน              ขันแข็ง
                             ถูกที่รู้รักกัน                          เที่ยวค้น
                             ปรบปีกแล่นบินพลัน                พบพร่ำ           น้ำหวาน
                             เพียรหมั่นโดยชอบล้น               ส่งพ้นเป้าหมาย   ฯ
          ความใฝ่ฝันที่อยากเป็น "นักกวีสมัครเล่น" คนหนึ่ง ดั้งนั้น เขาจึงไม่หยุดนิ่งในการเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ เจออะไรที่ไหนก็คิดและถ่อยทอดเป็นร้อยกรองไปหมด สมัยที่ยังศึกษาอยู่ได้กล่าวถึงความสำคัญของการศึกษา โดยใช้ภาษาเป็นภาษาถิ่น ว่า
                             "ความสำคัญของการศึกษา"
                             ...เรียนศึกษาหมั่นฮู้                  บ่สาย             เพื่อนเอย
                             พึงครุ่นคิดสบาย                     เพื่อสร้าง
                             รากฐานไม่เสื่อมคลาย               ประเสริฐ         เทียวแล
                             จุดมุ่งหมายสูงกว้าง                  แล่นก้าวสำเร็จ   ฯ
          ในบางครั้งอารมณ์ของความผิดหวังที่สุดหรืออกหักจากหญิงซึ่งเป็นคนรักที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้ไม่สามารถจะพูดออกมาได้ อึดอัดตันอุราพาให้ใจเศร้าหมองไม่รู้ว่าจะระบายและเล่าให้ใครฟัง จึงเปรียบอารมณ์หญิง ดังนี้ ว่า
                             "อารมณ์หญิง"
                             ...อันวารีแม่น้ำ                       สมุทร             วิตถาร
                             เปรียบดั่งอารมณ์หลุด               สุดเศร้า
                             หญิงใดไม่โทษทุษ                    ประเสริฐ         นักแล
                             หญิงนั่นรุ่งโรจน์เก้า                  หยิ่มยิ้มปรีดา   ฯ
          การได้เห็นเพื่อนมีความสุขกับครอบครัวที่สมบูรณ์มีพ่อแม่ที่ยังคอยเป็นห่วงเป็นใย ส่งข่าวคราวมาให้รับรู้รับทราบ เพื่อน ๆ ที่เป็นความหวังของพ่อแม่รอความสำเร็จของลูก ๆ กลับมา นี่คือความภาคภูมิที่ดีอย่างหนึ่งของความเป็นพ่อแม่ การเห็นเช่นจึงสะท้อนเกิดประกายความคิดผ่านโคลง ๔ สุภาพ บทนี้ ว่า
                             "รำพันถึงบิดรมารดา"
                             ...รำพึงถึงแม่เพ้อ                     ถึงพ่อ             คณา
                             สอนสั่งลูกวรขอ                     กล่าวไว้
                             เป็นขวัญที่หวังรอ                    บุตรหน่อ         สำเร็จ
                             มุ่งส่งแรงใจให้                        ครุ่นค้นบุตรา   ฯ
          ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา "อัปปมาทธรรม" พระพุทธเจ้าได้ตรัสเป็นพระดำรัสสุดท้ายก่อนที่จะปรินิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ประเสริฐ เลิศ ดี และงามพร้อม อันเป็นเหตุและผลที่หลาย ๆ คนลืมหรือประมาทพลาดพลั้งไป อัปปมาทธรรม ดังกล่าว ได้ถ่ายทอด ดังนี้ ว่า
                             "ไม่ควรประมาท"
                             ...ชีวิตใครเล่ารู้                       กทา              อาสัญ
                             พึงใคร่ครวญสัมมา                   อยู่ด้วย
                             ประมาทไม่กามา                    จงเร่ง             กอปรสร้าง
                             ปลูกบ่มบุญใกล้ม้วย                 ก่อนสิ้นชีวา   ฯ
         ผ่อนคลายด้วยการไปเที่ยวชมสวนสาธารณะหรือสวนราชพกฤกษ์ในสถานที่ต่าง ๆ หรือห้วยเขาลำเนาไพร อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สถานที่เหล่านี้เป็นแหล่งพักใจชั้นเยี่ยม ที่ก่อให้เกิดความปีติยินดีอย่างมาก คือเป็นความสุขแบบไม่รู้จะอธิบายอย่างไร อารมณ์กวีสมัครเล่นจึงออก ว่า
                             "รมณียสถาน"
                             ...อันผาสุกชุ่มชื้น                     ร่มรื่น             ครื้นเครง
                             ที่พึ่งพาผู้อื่น                         สู่ข้า
                             พิงพักเมื่อข่มขืน                     โอนอ่อน          ผ่อนใจ
                             เคียงคู่ยามเหวว้า                    ย่อมย้ำนิเวสน์   ฯ
          ในค่ำคืนที่ดาวเข้ามาใกล้เดือน ดาวเกี้ยวเดือน และดาวเคียงเดือน กล่าวคือ ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงมีหมู่ดาวคอยแวดล้อมส่องประกายระยิบระยับเปล่งปลั่งไปทั่วท้องฟ้า ว่า
                             "ชมดวงจันทร์หมู่ดาว"
                             ...ศศิธรแจ่มแจ้ง                     นภา              อากาศ
                             อร่ามงามนัยต์ตา                    ค่ำนี้
                             ดวงดาวหมู่ตารา                     เปล่งปลั่ง         เต็มฟ้า
                             นวลผ่องสวยสดชี้                    ส่องหล้าไสว   ฯ
          เช้าวันที่ ๑๒ สิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ) เมธีเดินทางถึงบ้านที่ต่างจังหวัดโดยสวัสดิภาพ ทันทีที่มาถึงหน้าบ้าน ภาพที่เขาได้เห็นคือบรรดาญาติผู้ใหญ่โดยเฉพาะตาและยายยืนข้างหน้าจ้องมองมาด้วยความดีใจ ตาและยายน้ำตาคลอ เมธีไม่รอช้ารีบคุกเข่าลงกราบแทบเท้าของปูชนียบุคคลคือตาและยาย ท่านทั้งสองเป็นเหมือนพ่อและแม่ของเขา
          คิดถึงตาและยายมากเลยครับ (เมธีพูดด้วยน้ำเสียงที่ปลาบปลื้ม)
          เราสองคนก็คิดถึงหลานเช่น (ยายพูดด้วยน้ำเสียงที่ปีติยินดีปราโมทย์พร้อมกับลูบศรีษะเบา ๆ)
          ในวันนั้นนั่นเอง ตาและยายพาครอบครัวรวมถึงเมธีหลานรักไปทำบุญที่วัดประจำหมู่บ้าน เพราะเหตุว่า วันนั้นเป็นวันพระ และถือโอกาสทำบุญให้พ่อแม่ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว
          "พฺรหฺมาติ  มาตาปิตโร"  พ่อแม่นั้น มีอุปการะต่อลูกเป็นอย่างมาก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พ่อแม่เปรียบเหมือนพระพรหม เพราะว่าลูก ๆ ไม่สามารถที่จะตอบพระคุณของท่านทั้งสองให้สิ้นสุดได้ ดังนั้น การตอบแทนพระคุณพ่อแม่จึงไม่มีวันสิ้นสุด...ไม่สิ้นสุด ๆ (ใจความความย่อที่พระภิกษุแสดงธรรมเทศนา ขณะที่นั่งฟังในศาลาการเปรียบพร้อมกับตาและยายและญาติในวันนั้น)
          หลักจากกลับมาจากบ้านเกิดแล้ว เมธีได้ข้อคิดและอุดมคติอะไรหลาย ๆ อย่างในการกลับบ้านครั้งนี้ ได้ทั้งความรัก กำลังใจ และได้รู้ในเรื่องราวหรือคำสอนที่ไม่เคยรู้มาก่อน พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจ เข้าถึง และปฏิบัติได้อย่างไม่มีข้อสงสัย โดยเฉพาะในเรื่องของพระคุณของพ่อแม่ใหญ่หลวงยิ่งนัก ไม่มีสุขไหนเท่ากับการบรรยายถ่ายทอดออกมาได้ จึงแต่งเป็นโคลง ๔ สุภาพ อย่างภาคภูมิใจ ว่า
                             "ไม่สิ้นสุด"
                             ...หากจะให้แม่นั้น                   เกาะบ่า           ลูกไว้
                             แลนั่งถ่ายกรีสา                      อย่างนี้
                             แม้ทำอยู่เวลา                        กาลล่วง          ร้อยปี
                             ก็ไม่สามารถชี้                        ตอบแท้คุณท่าน   ฯ
                             ...ถ้าลูกทำแม่ให้                     ตั้งอยู่             ในบุญ
                             ให้พึ่งธรรมเป็นคู่                     บ่มสร้าง
                             ศีลทานมั่นส่งสู่                      พาท่าน           สุขใจ
                             ทำเช่นนี้เคียงข้าง                    แม่ได้ลูกดี   ฯ
                            
                                                                   (เนื่องใน "วันแม่แห่งชาติ  ๕๗")


ขอความสวัสดี จงมีแก่ผู้อ่านทุกท่าน ครับ...........



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น